หัวใจสำคัญของ “อาหารโรคไต” ควบคุมอะไรบ้างเพื่อชะลอความเสื่อม
โปรตีนคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสม
เมื่อป่วยเป็นโรคไต การควบคุมการบริโภคโปรตีนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเมื่อร่างกายย่อยโปรตีนจะเกิดของเสียคือ “ยูเรีย” ซึ่งไตมีหน้าที่ขับออกทางปัสสาวะ หากไตทำงานได้ไม่ดี ร่างกายจะไม่สามารถขับยูเรียออกได้หมด ทำให้ยูเรียสะสมจนเป็นพิษได้โซเดียมและโพแทสเซียม
ไตมีหน้าที่ควบคุมระดับโซเดียมและโพแทสเซียมในร่างกาย ดังนั้นผู้ป่วยโรคไตจึงต้องควบคุมปริมาณทั้งสองชนิดนี้อย่างเคร่งครัด- โซเดียม: หากมีปริมาณสูงเกินไป อาจทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น เสี่ยงเกิดอาการบวมและความดันโลหิตสูง
- โพแทสเซียม: หากมีปริมาณสูงเกินไปอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจวายได้
ฟอสฟอรัส
ฟอสฟอรัสที่สะสมในเลือดสูงเกินไปจะส่งผลให้กระดูกอ่อนแอและเปราะบางลง นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการคันตามผิวหนัง และภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้อีกด้วยความท้าทายในการเตรียม “อาหารคนไข้โรคไต” ในชีวิตประจำวัน
การจำกัดสารอาหาร
การลดเครื่องปรุง หลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปหรืออาหารสำเร็จรูป รวมถึงการชั่งน้ำหนักโปรตีนเพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายจะได้รับสารอาหารในปริมาณที่พอดีและเพียงพอต้องเตรียมอาหารเอง
อาหารที่เตรียมนั้นควรระมัดระวังเรื่องสารอาหารต่าง ๆ เป็นอย่างมาก เช่น การชั่งตวงเนื้อสัตว์ให้ได้โปรตีนที่พอดี การหั่นและต้มผักและผลไม้เพื่อจำกัดปริมาณของโพแทสเซียม การจำกัดอาหารบางประเภทเพื่อลดอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูงคอยอัปเดตความรู้อยู่เสมอ
ปรึกษาแพทย์และนักโภชนาการเพื่ออัพเดตข้อมูลโภชนาการอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ส่งผลดีต่อร่างกาย หรือสามารถนำมาพลิกแพลงกับการปรุงอาหารสำหรับโรคไตได้อย่างยืดหยุ่นยิ่งขึ้น“อาหารทางการแพทย์” คืออะไร ต่างจาก “อาหารเสริมโรคไต” อย่างไร?
อาหารทางการแพทย์สำหรับโรคไตนั้นแตกต่างจากอาหารเสริมโรคไตที่ “สารอาหาร” โดยอาหารทางการแพทย์นั้นจะมีสารอาหารที่ผู้ป่วยโรคไตต้องการครบถ้วน และอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม ในขณะที่อาหารเสริมโรคไตจะเป็นอาหารเสริมของสารอาหารบางชนิด หรือบางหมวดหมู่เท่านั้น อาจจะใช้ทดแทนเป็นมื้ออาหารไม่ได้อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคไตโดยเฉพาะ ประกอบด้วยอะไรบ้าง
เมื่อพิจารณาถึงส่วนประกอบโดยรวมของอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคไตนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมีส่วนประกอบดังนี้- มีอัตราส่วนของพลังงานจากโปรตีน 8% คาร์โบไฮเดรต 52% ไขมัน 40%
- มีส่วนผสมของไอโซมอลตูโลส ไฟเบอร์ซอล-2 และฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์
- ผสมน้ำมันคาโนลา น้ำมันเอ็มซีที และน้ำมันดอกคำฝอยโมเลกุลสูง
วิธีรับประทานอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคระยะก่อนล้างไต
- เตรียมอาหารทางการแพทย์สำหรับโรคไตที่ความเข้มข้น 1.8 กิโลแคลลอรี/มล. สำหรับผู้ป่วยโรคไตก่อนล้างไตที่ต้องจำกัดน้ำ
- ละลายผลิตภัณฑ์ 5 ช้อน (76 กรัม) ในน้ำ (สามารถละลายได้ทั้งน้ำอุณหภูมิห้อง น้ำเย็น หรือน้ำอุ่น)
- เมื่อได้อาหารทางการแพทย์ 124 มิลลิลิตรแล้ว ให้ปรับส่วนผสมสุดท้ายจนได้ปริมาตรรวม 200 มิลลิลิตร โดยส่วนผสมสุดท้ายนั้นต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ควรดื่มทันทีหรือเก็บในภาชนะที่ปิดสนิทแล้วแช่เย็นในอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส จากนั้นควรดื่มให้หมดภายใน 24 ชั่วโมง
วิธีการรับประทานอาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคไตระยะก่อนล้างไต
- ดื่มระหว่างมื้ออาหาร สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะเบื่ออาหารหรือทานอาหารได้น้อยแต่ต้องการพลังงานและโปรตีนเพื่อรักษาน้ำหนักตัว
- ดื่มทดแทนมื้ออาหาร สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่ต้องควบคุมปริมาณและสารอาหารอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็น โปรตีน โซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส หรือผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารผ่านสายยาง
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Q: ONCE Renal เหมาะกับผู้ป่วยโรคไตระยะไหน?
A: สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ป่วยไตนั้น มีผลิตขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้ป่วยไตทุกระยะที่มีความต้องการสารอาหารและพลังงานอาหารแตกต่างกันของผู้ป่วยโรคไตแต่ละระยะแตกต่างกันไป สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์ในคำถามนั้น ขออนุญาตแนะนำเป็นระยะก่อนล้างไต (หรือที่คนทั่วไปเรียกว่าฟอกไต) โดยควรบริโภคภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
Q: สามารถใช้ ONCE Renal ทดแทนมื้ออาหารหลักได้เลยหรือไม่?
A: การทานอาหารทางการแพทย์โรคไตแทนมื้อหลักนั้นใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยต้องควบคุมปริมาณอาหารอย่างเข้มงวด สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารทางการแพทย์โรคไตนั้น ขอแนะนำว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะต้องมีสารอาหารอย่างโปรตีน โซเดียม โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส ในปริมาณที่ครบถ้วนเหมาะสม จึงจะสามารถใช้ทดแทนได้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
Q: ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นโรคไตด้วยสามารถทานได้หรือไม่?
A: ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนเลือกทานและควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
Q: หาซื้อ ONCE Renal ได้ที่ไหนบ้าง?
A: สามารถหาซื้อได้ที่โรงพยาบาล และร้านขายยาทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ ที่ร้าน Otsuka Official Store
Q: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มทานอาหารทางการแพทย์หรือไม่?
A: ควรปรึกษาก่อนเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้การเลือกทานอาหารทางการแพทย์นั้นปลอดภัย เหมาะสม ผู้ทานได้รับโภชนาการที่ถูกต้อง และไม่เสี่ยงขาดสารอาหารอีกด้วย